ถาม – ตอบ
1. การประกันคุณภาพและการควบคุมคุณภาพนอกจากจะทำให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องน่าเชื่อถือแล้ว
การประกันคุณภาพและการควบคุมคุณภาพยังมีประโยชน์ในด้านใดอีกบ้าง
ตอบ 1. แก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที
2. ลดความเสี่ยงในการตัดสินใจสำหรับผู้บริหาร
3. ข้อมูลการวิเคราะห์มีความสำคัญต่อความปลอดภัยและสุขภาพประชาชน
4. ข้อมูลการวิเคราะห์มีความสำคัญต่อการประเมิน ติดตามตรวจสอบและคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และการจัดสิ่งแวดล้อมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ข้อมูลวิเคราะห์ใช้เป็นเกณฑ์ในการฟ้องร้องทางกฎหมาย
6. ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน
7. ประหยัดงบประมาณและเวลา
2. ให้อธิบายถึงลักษณะคุณภาพและชนิดของความคลาดเคลื่อนจากการวิเคราะห์
ตอบ การวิเคราะห์ตัวอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อ ประมาณค่าจริงของคุณสมบัติบางประการในตัวอย่าง ในการวิเคราะห์มีเทอมที่บอกถึงคุณภาพของการวิเคราะห์ คือ ความเที่ยงตรง (precision) และความแม่นยำ (accuracy) ความเที่ยงตรง หมายถึง ความใกล้เคียงกันของผลการวิเคราะห์ที่ได้จากการวิเคราะห์ตัวอย่างเดียวหลาย ๆ ซ้ำ โดยใช้วิธีวิเคราะห์เดียวกัน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน และสภาวะที่เหมือนกันซ้ำ ความเที่ยงตรงยังกล่าวถึง reproducibility ของผลการวิเคราะห์ที่ได้จากวิธีวิเคราะห์เดียวกัน แต่ต่างสภาวะกัน (เวลา ผู้วิเคราะห์ เครื่องมือ) ความเที่ยงตรงแสดงในรูปของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) หรือสัมประสิทธิ์ของการผันแปร (%RSD) (http://www.fao.org/docrep/W7295E/w7295e08.htm) ความเที่ยงตรงมี 2 แบบ (http://www.fao.org/docrep/W7295E/w7295e09.htm)
1) reproducibility: การวัดความสอดคล้องกันระหว่างผลการวิเคราะห์ที่ได้จากวิธีวิเคราะห์เดียวกันภายใต้สภาวะที่แตกต่างกัน (ผู้วิเคราะห์ ห้องปฏิบัติการ เครื่องมือ เวลา)
2) repeatability: การวัดความสอดคล้องกันระหว่างผลการวิเคราะห์ที่ได้จากวิธีวิเคราะห์เดียวกันภายใต้สภาวะที่เหมือนกัน (ผู้วิเคราะห์ ห้องปฏิบัติการ เครื่องมือ เวลา)
ความเที่ยงตรงแสดงถึงความคลาดเคลื่อนแบบ random (Markert, 1994) ความคลาดเคลื่อน (error) หมายถึง ผลการวิเคราะห์แตกต่างจากค่าจริง ความคลาดเคลื่อนแบบ randomไม่สามารถควบคุมได้ เกิดจากการผันแปรของสภาวะต่าง ๆ ในระบบการวิเคราะห์ที่ควบคุมไม่ได้และไม่สามารถคาดเดาได้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างแต่ละครั้ง เช่น เวลาของการทำปฏิกิริยาแตกต่างกัน ปริมาตรของสารที่เติมลงไป ความผันแปรของ blanks สภาวะของเครื่องมือวิเคราะห์ผันแปรการผันแปรในการอ่านสเกล (Keith, 1991; Rump and Krist, 1992)
ความแม่นยำ (accuary) หมายถึง ผลการวิเคราะห์ใกล้เคียงกับค่าจริง ในเชิงปริมาณ ความแม่นยำแสดงเป็น % recovery หรือ % error ความแม่นยำแสดงถึงความคลาดเคลื่อนแบบ systematic หรือความลำเอียง (bias) ความคลาดเคลื่อนแบบ systematic ทำให้ผลการวิเคราะห์มีค่ามีค่าไปทางใดทางหนึ่ง ความคลาดเคลื่อนแบบนี้สามารถควบคุมได้ (Keith, 1991) สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนแบบ systematic ได้แก่ (Rump and Krist, 1992; Einax et al.,1997)
1) ความไม่เสถียรของตัวอย่างระหว่างการรวบรวมและการวิเคราะห์: ความเข้มข้นของสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์บางรูปอาจเปลี่ยนแปลงระหว่างการเก็บตัวอย่างและการวิเคราะห์
2) ไม่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่ต้องการจะวิเคราะห์ได้ทุกรูป: สสารที่อยู่ในน้ำมีอยู่หลายชนิด (species) และในการแบ่งทางกายภาพอาจมีทางเคมีรวมอยู่ด้วย เช่น free ion และ complexes การที่ไม่สามารถวิเคราะห์รูปเหล่านี้ได้นำไปสู่ความลำเอียงเมื่อมีรูปนั้นอยู่ในตัวอย่าง
3) สิ่งรบกวน: มีวิธีการวิเคราะห์ไม่มากนักที่สามารถวิเคราะห์ตัวอย่างได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นความคลาดเคลื่อนแบบ systematic ยังเกิดจาก biased calibration และbiased blank
3. ให้ยกตัวอย่างวิธีที่สามารถใช้ตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์
ตอบ 1. ในกรณีที่สิ่งที่ต้องการวิเคราะห์มีหลายรูป (forms) เช่น พวกธาตุอาหารต่าง ๆ (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส) อันเป็นพารามิเตอร์พื้นฐานสำคัญที่ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์น้ำส่วนใหญ่ของกรมประมงทำการวิเคราะห์กัน (ส่วนใหญ่จะวิเคราะห์หาไนโตรเจนในรูปของไนไตรท์ ไน-เตรท และแอมโมเนียรวม และออร์โธฟอสเฟตสำหรับฟอสฟอรัส) แต่ยังมีไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในรูปอื่น ๆ อีก เช่น ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสทั้งหมดซึ่งจะรวมไนโตรเจนและฟอสฟอรัสทุกรูปที่มีอยู่ในแหล่งน้ำ ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในรูปอนุภาค (Particulate Nitrogen, PN และ Particulate Phosphorus, PP) อินทรีย์ไนโตรเจนและอินทรีย์ฟอสฟอรัสที่ละลายน้ำ(Dissolved Organic Nitrogen, DON และ Dissolved Organic Phosphorus, DOP) เป็นต้น การวิเคราะห์ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสหลาย ๆ รูป ทำให้ทราบว่าการวิเคราะห์มีความคลาดเคลื่อนเพราะบางครั้งอาจพบว่าผลการวิเคราะห์ไนโตรเจนทั้งหมดมีค่าน้อยกว่าไนโตรเจนที่ละลายน้ำทั้งหมด หรือผลการวิเคราะห์ออร์โธฟอสเฟตมีค่ามากกว่าฟอสฟอรัสทั้งหมด หรือออร์โธฟอสเฟตมีค่ามากกว่าฟอสฟอรัสที่ละลายน้ำทั้งหมด
2. ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างพารามิเตอร์ที่ทำการวัดกับพารามิเตอร์อื่น ๆ พารามิ-เตอร์ที่ทำการวัดบางพารามิเตอร์มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เราสามารถใช้ความสัมพันธ์กันดังกล่าวตรวจสอบผลการวิเคราะห์ได้เช่นกัน หากผู้วิเคราะห์ไม่ได้พิจารณาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าวอาจทำให้ผลการวิเคราะห์ที่ได้ผิดพลาดได้ แหล่งน้ำที่มีแพลงก์ตอนพืชบลูมบ่อย ๆ เช่น เรามักพบว่ามีค่าพีเอชของน้ำ และค่าออกซิเจนละลายสูง แต่อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งทีเดียวที่พบว่า ค่าออกซิเจนละลายและค่าพีเอชที่วัดได้ตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้งสองพารามิเตอร์มีค่าต่ำ
3. คำนึงถึงแหล่งน้ำที่ทำการวัด ในกรณีนี้ใช้ตรวจสอบความเค็ม ค่าพีเอชของน้ำ โดยเฉพาะตามแหล่งน้ำกร่อยต่าง ๆ และทะเลเปิดทั่วไป น้ำในอ่าวไทยมีความเค็มสูงสุดประมาณ 33.5 psu (เพ็ญใจ, ติดต่อส่วนตัว) ส่วนน้ำทะเลปกติมีค่าพีเอช 8.0-8.3 (มนุวดี, 2532)
4. พิจารณาจากค่าที่เคยมีการวิเคราะห์มาแล้ว กรณีนี้ทำได้โดยนำมา plott กราฟเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงตามเวลา อาจทำให้สังเกตความผิดปกติของค่าที่วัดได้หรือข้อมูลได้
5. ในกรณีที่วัดตัวอย่างจากหลาย ๆ สถานี อาจพิจารณาจากค่าที่วัดได้จากสถานีใกล้เคียงที่มีสภาพแวดล้อมต่างๆ เหมือนกัน บางครั้งเราพบว่าค่าที่วัดได้มีค่าสูงผิดปกติแตกต่างจากค่าที่เคยวัดได้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรผิดปก ติและสถานีดังกล่าวอยู่ห่างจากแหล่งที่มาของสิ่งปนเปื้อน ในขณะที่สถานีอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงและมีสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เหมือนกันนั้นยังคงมีค่าปกติ
6. พิจารณาจากช่วงเวลาหรือฤดูกาลที่ทำการวิเคราะห์ ช่วงเวลาหรือฤดูกาลที่ทำ
การวิเคราะห์มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพารามิเตอร์ทางสิ่งแวดล้อมบางพารามิเตอร์ อย่างเช่น พีเอช
ความเค็ม ออกซิเจนละลาย ฯลฯ
4. การวิเคราะห์ตัวอย่างจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อยกี่ประการ ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ 4 ประการ
เมื่อรู้ว่าผลการวิเคราะห์ไม่ถูกต้อง ผู้วิเคราะห์หรือผู้ควบคุมดูแลห้องปฏิบัติการจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง เพื่อให้การวิเคราะห์ในครั้งต่อ ๆ ไปมีความคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาดน้อยที่สุด ซึ่งโดยทั่วไปการวิเคราะห์ตัวอย่างจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อย 4 ประการ คือ (1) ผู้วิเคราะห์ (2) เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งสารเคมี (2) วิธีวิเคราะห์และ (4) ตัวอย่าง ดังนั้นความคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์เกือบทั้งหมดจึงเกิดจากองค์ประกอบทั้ง 4 ดังกล่าวเป็นหลัก
5. จงบอกความหมายและองค์ประกอบของการประกันคุณภาพ
ตอบ การประกันคุณภาพ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ปฏิบัติเพื่อให้ผลการวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการน่าเชื่อถือ (Bartram and Balance, 1996) เป้าหมายของการประกันคุณภาพเพื่อให้แน่ใจว่า 1) มาตรฐานการเก็บรวบรวมตัวอย่าง การวิเคราะห์ และเทคนิคการวิเคราะห์ยังคงเหมือนเดิม และเป็นไปอย่างถูกต้อง 2) จำนวนตัวอย่างที่สูญหาย เสียหาย และตัวอย่างที่ไม่ได้เก็บรวบรวมลดน้อยลง 3) การรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการเก็บตัวอย่างเพื่อป้อนเป็นประวัติของข้อมูลจะยังคงมีอยู่ และได้จัดทำเป็นเอกสารไว้ 4) ข้อมูลเหล่านั้นเปรียบเทียบได้ และ 5) ผลเหล่านั้นสามารถคัดลอกได้ องค์ประกอบของการประกันคุณภาพมีดังนี้ (Bartram and Balance, 1996)
1. การจัดการ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดองค์ประกอบหนึ่งของโครงการการประกันคุณภาพในห้องปฏิบัติการคือ เอกสารการจัดการรวม เอกสารการจัดการนี้เป็นเอกสารที่อธิบายถึงโครงสร้างของห้องปฏิบัติการ เอกสารการจัดการควรประกอบด้วย สายการบังคับบัญชา หน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการแต่ละคน การบันทึกต่าง ๆ ที่ทำอยู่เป็นประจำ เช่น การปรับเทียบและการดูแลรักษาเครื่องมือ
2. การฝึกอบรม ห้องปฏิบัติการควรมีการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับงานที่แต่ละคนต้องปฏิบัติ การฝึกอบรมจะต้องทำเป็นเอกสารเพื่อให้บุคคลอื่นสามารถตรวจสอบได้ ระดับของการฝึกอบรมที่ต้องการของแต่ละกระบวนการควรกำหนดให้ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าความสามารถของเจ้าหน้าที่ตรงกับข้อกำหนดของกระบวนการ
3. มาตรฐานวิธีปฏิบัติ (standard operating procedure, SOPs) มาตรฐานวิธีปฏิบัติเป็นเอกสารที่อธิบายถึงการปฏิบัติต่าง ๆ ที่ได้ทำซ้ำ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เป้าหมายของมาตรฐานวิธีปฏิบัติ คือ เพื่อให้การปฏิบัตินั้นทำอย่างถูกต้อง และทำในลักษณะเดิมอยู่เสมอ มาตรฐานวิธีปฏิบัติไม่ใช่สำเนาของวิธีการวิเคราะห์หรือคู่มือการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ขั้นตอนการปฏิบัติแต่ละขั้นตอนจะมีมาตรฐานวิธีปฏิบัติเป็นของตนเอง ตั้งแต่การสุ่มเก็บตัวอย่าง การลำเลียงตัวอย่าง การวิเคราะห์ การใช้เครื่องมือ การควบคุมคุณภาพ และการทำรายงาน เป็นต้น มาตรฐานวิธีปฏิบัติของแต่ละขั้นตอนควรประกอบด้วย
1. ชื่อของมาตรฐานวิธีปฏิบัติ
2. ผู้เขียน
3. วันที่ใช้
4. ผู้อนุมัติ
5. จำนวนสำเนา
6. หน้าที่ … ของ….(ตัวอย่างเช่น หน้าที่ 1 ของ 6 – แสดงอยู่ที่ด้านล่างของแต่ละหน้าของ
มาตรฐานวิธีปฏิบัติ )
7. ขอบเขตและการใช้
8. อุปกรณ์และสารเคมีที่ใช้
9. ขบวนการวิเคราะห์ (อธิบายคำสั่งทีละขั้นของขบวนการวิเคราะห์หรือการใช้เครื่องมือ ถ้าเป็น
มาตรฐานวิธีปฏิบัติในการเก็บตัวอย่างควรมีรายละเอียดและแผนที่ของจุดเก็บตัวอย่าง
10. หมายเหตุ ในมาตรฐานวิธีปฏิบัติจำเป็นต้องมี “หมายเหตุ” ไว้เพราะในการวิเคราะห์อาจมี
สถานการณ์พิเศษที่ต้องบอกไว้ อย่างเช่น สิ่งรบกวนในการวิเคราะห์
4. สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องปฏิบัติการ ทรัพยากรต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการวิเคราะห์ตัวอย่างทั้งในช่วงปกติและในสถานการณ์อื่น ๆ เกี่ยวข้องกับคุณภาพผลการวิเคราะห์ห้องปฏิบัติการต่างๆ ต้องมีทรัพยากรเพียงพอกับงานที่ปฏิบัติ เช่น พื้นที่ เจ้าหน้าที่ อุปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ เป็นต้น ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์บางอย่างจะต้องควบคุมสภาพแวดล้อมภายในห้องได้และสภาพแวดล้อมภายในห้องต้องสะอาด ห้องปฏิบัติการควรมีพื้นที่พอสำหรับการวิเคราะห์ตัวอย่างโดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงทั้งต่อคนและตัวอย่างที่วิเคราะห์ และมีพื้นที่พอสำหรับใช้เก็บเครื่องแก้ว สารเคมี และตัวอย่าง
5. การสอบเทียบและการดูแลรักษาอุปกรณ์ มีการดูแลรักษาเครื่องมือต่างๆสม่ำเสมอตามเกณฑ์ที่ห้องปฏิบัติการได้จัดทำไว้ พร้อมทั้งจดบันทึกข้อมูลไว้ ห้องปฏิบัติการต้องจัดทำและแนะนำในการดูแลอุปกรณ์แต่ละอย่างให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบ การดูแลและการรักษาความสะอาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องมือมีความสำคัญต่อคุณภาพของผลการวิเคราะห์ ซึ่งไม่ควรมองข้ามไป มีการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่ใช้วิเคราะห์โดยตรงและเครื่องมืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เครื่องชั่ง ไปเปต ฯลฯ อยู่เสมอ ความถี่ในการตรวจสอบขึ้นอยู่กับข้อสงสัยถึงความมีเสถียรภาพของเครื่องมือเหล่านั้น ควรเก็บข้อมูลการปรับเทียบและการดูแลรักษาที่ได้บันทึกไว้ ในกรณีเครื่องมือขัดข้องหรือชำรุดเสียหาย ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุถึงความผิดปกติของเครื่องมือได้รวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
6. การเก็บตัวอย่าง ควรมีการจัดทำขั้นตอนในการเก็บตัวอย่างอย่างละเอียดโดยเฉพาะข้อควรระวังในขณะเก็บตัวอย่าง ควรมีรายละเอียดที่ชัดเจน เอกสารการเก็บตัวอย่างที่ละเอียดจะทำให้ผู้เก็บตัวอย่างสามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับธรรมชาติของตัวอย่าง (เก็บตัวอย่างเมื่อไหร่ ที่ไหน และภายใต้สภาพแวดล้อมอย่างไร) ได้อย่างครบถ้วน การบันทึกข้อมูลภาคสนามมีความจำเป็น เพราะความผันแปรในกระบวนการเก็บตัวอย่างมีผลต่อผลการวิเคราะห์อย่างเห็นได้ชัด แต่ผลจากความผันแปรในการเก็บตัวอย่างนี้วัดได้ยาก ดังนั้นในทางปฏิบัติจะต้องบันทึกสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในการเก็บตัวอย่างไว้ให้ละเอียดที่สุด ซึ่งในการเก็บตัวอย่างควรปฏิบัติ ดังนี้
1) ยึดถือตามมาตรฐานวิธีปฏิบัติในการเก็บตัวอย่างอย่างเคร่งครัด
2) ต้องแน่ใจว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ สะอาดเพียงพอ และอยู่ในสภาพที่พร้อมจะทำงาน
3) บันทึกสภาวะต่าง ๆ ทุกอย่างเท่าที่จะบันทึกได้
4) ปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด
7. การรับตัวอย่าง การเก็บรักษาตัวอย่าง และการทิ้งตัวอย่างเป็นขั้นตอนที่สำคัญขั้นตอน
หนึ่งที่มีความสำคัญเกือบเท่ากับการเก็บตัวอย่าง คือ การเก็บรักษาตัวอย่างที่เหมาะสมก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ และเพื่อให้แน่ใจว่า ตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาได้ได้เข้าสู่ระบบการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการเรียบร้อยแล้วจึงจำเป็นต้องทำการบันทึกว่าได้มีการับตัวอย่างแล้ว และที่มีความสำคัญเท่ากันคือ การกำหนดเวลาสำหรับการทิ้งตัวอย่าง การทิ้งตัวอย่างควรทำเมื่อเก็บตัวอย่างไว้นานเกินเวลาที่กำหนดไว้
8. การรายงานผลการวิเคราะห์ ขั้นตอนแรกของการรายงานผลการวิเคราะห์คือ การตรวจสอบข้อมูลเพื่อดูว่าผลการวิเคราะห์เหมาะที่จะรายงานหรือไม่ ในระบบการประกันคุณภาพควรตรวจสอบข้อมูลด้วยหลายขั้นตอน และไม่ควรรายงานข้อมูลที่อยู่นอกเขตควบคุมอย่างไรก็ตามเมื่อข้อมูลพร้อมที่จะรายงานต้องแน่ใจว่ารายงานข้อมูลนั้นอย่างถูกต้องและอยู่ในลักษณะที่แปรผลง่าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการแปลผล เช่น ธรรมชาติของตัวอย่าง หรือกระบวนการวิเคราะห์ที่ใช้ เมื่อผู้วิเคราะห์รายงานผลการวิเคราะห์ต้องระบุข้อมูลดังกล่าวด้วย
#คลิ๊กดูแนวข้อสอบราชการที่ www.โหลดแนวข้อสอบราชการ.com
#รวมข้อสอบที่ออกบ่อยๆ รวบรวมโดยอาจารย์ของสถาบัน
#เจาะลึกครอบคุมตรงประเด็น เนื้อหาสาระสำคัญ ข่าวสารทันโลก
#จำหน่ายแนวข้อสอบมานานกว่า 10 ปี การรันตีจากผู้สอบติดมากมาย
#รวมหนังสือหรือไฟล์ เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาไปนั่งติว
แนวข้อสอบมี 2 รูปแบบ
1.แบบที่ 1 รอรับได้เลย ราคาเพียง 399 บาท (รอรับ 1-2 ชม หลังโอน)
2.แบบที่ 2 หนังสือ **ฟรี MP3** ราคา 699 บาท (ส่งฟรีขนส่งเอกชน)
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อแนวข้อสอบ
โทร: 082-8551615 (คุณปาณิสรา)
Line ID : Panisara_test หรือคลิ๊กสั่งซื้อทันที
ชำระค่าสินค้าและบริการ
-ธ.กรุงไทย เลขที่บัญชี 983-0-97701-3
-ธ.กสิกรไทย เลขที่บัญชี 549-2-17930-4
(ชื่อบัญชี ปาณิสรา พระกาย ออมทรัพย์ )